ตามไปหา...ปลาพลวงชมพู
ปลาพลวงชมพูหรือปลาเงียน (Smith. 1945)
ปลาพลวงชมพูมีชื่อเป็นภาษามาลายูท้องถิ่นภาคใต้ตอนล่างว่า “ ปลากือเลาะห์”
หรือ “ อีแกกือเลาะห์” เป็นปลาที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับ ปลาเวียน และ
ปลาพลวงหิน ที่เป็นที่รู้จักกันดีในภาคอื่นๆ
ตามธรรมชาติปลาชนิดนี้จะมีครีบสีส้มแดง
เมื่อนำมาเลี้ยงไว้ในบ่อสีจะจางลงจนเป็นสีชมพู ในด้านอนุกรมวิธานสามารถจำแนกทางชีววิทยาได้ดังนี้
Class : Pisces | |
Subclass : Teleoste | |
Order : Eventognathi | |
Family : Cyprinidae (Carps) | |
Subfamily : Cyprininas | |
Genus : Tor |
การเลี้ยงปลาพลวงชมพูที่เบตง
อำเภอเบตง
เบตง
เป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่ในจังหวัดยะลา เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศไทย โดยมีลักษณะเป็นแหลมยื่นเข้าไปในประเทศมาเลเซีย
ตั้งอยู่ในแนวเทือกเขาสันการาคีรี มีเนื้อที่ประมาณ 1,328 ตารางกิโลเมตร ห่างจากตัวเมืองยะลาประมาณ 140 กิโลเมตร
และห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 1,220 กิโลเมตร ด้วยภูมิประเทศของอำเภอเบตงส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงจึงทำให้เบตงมีอากาศดี
และมีหมอกตลอดปี ดังคำขวัญประจำอำเภอที่ว่า “เมืองในหมอก
ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน”
ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง
ด้วยภูมิประเทศที่เห็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับที่ราบทำให้อำเภอเบตงมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวอย่างสูง ถ้าเทียบๆกับแหล่งที่มีชื่อเสียง น่าจะเทียบได้กับเมืองโออิตะ ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นต้นทางของหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ (one village, one product) หรือที่ประเทศไทยนำมาเป็นต้นแบบหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือเรียกย่อว่า โอทอป/OTOP) นั่นเอง ที่นี่ เบตงนี่เองสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ เพราะมีทรัพยากรหลากหลาย ผลผลิตทางการเกษตรหลากชนิด เช่น ไก่เบตง ส้มโชกุนเบตง สิ่งเหล่านี้สามารถนำมาสร้างหมู่บ้านไก่ หมู่บ้านส้มโชกุนได้ นอกจากนี้เบตงยังมีเรื่องเหล่าทางวัฒนธรรมผสมผสานที่มีมากอย่างยาวนาน เมืองสงบท่ามกลางหุบเข้าจะเป็นแหล่งต้อนรับผู้มาเยือนทั้งไทยและต่างประเทศ ประมาณว่ามีนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียมาเที่ยวเบตงปีละหลายหมื่นคนทีเดียว การเป็นเมืองท่องเที่ยวของเบตง ที่คนเข้ามาท่องเที่ยวเมืองอาหารอร่อย สิ่งที่โดดเด่นคือ การมีวัตถุดิบที่อยู่ในเขตพื้นที่ผลิต/เลี้ยงที่ห่างจากตัวเมืองไม่เกิน 15 กิโลเมตร ทำให้วัตถุดิบนั้นมีความสดใหม่เกินคำบรรยาย
แต่..สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งของเบตงที่หลายคนคงทราบกันไม่มากนักคือ พื้นที่เล็กๆตามที่ราบเชิงเขาของเบตง เป็นแหล่งเลี้ยงสัตว์น้ำมาช้านาน สัตว์น้ำที่มีชื่อเสียงของอำเภอเบตงคือปลาจีน หรือปลาเฉา เป็นปลาที่มีราคาแพง ใครไปเยือนเมืองเบตงก็อดไม่ได้ที่จะต้องสั่งมารับประทาน เมนูแนะนำครับ ว่ากันว่า "ถ้าไปเที่ยวเบตงแล้วไม่ได้ทานปลาจีนเบตง มากันไม่ถึงทีเดียว" ปัจจุบันพื้นที่เลี้ยงปลาจีนถูกปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของตลาด เกษตรกรนำปลานิลมากเลี้ยงควบคู่ไปด้วย เพราะปลานิลสามารถขายได้ทุกๆวัน โดยเกษตรกรจับกลุ่มกันผลิตปลานิลคุณภาพดีออกจำหน่าย ปลานิลเบตงถูกนำมาเลี้ยงในระบบน้ำไหล ไม่มีเศษอาหารหรือดินตะกอนตกค้างในบ่อทำให้เนื้อปลาไม่มีกลิ่นโคลนในเนื้อ ทำให้จำหน่ายได้ราคาดีและเป็นที่นิยม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย ราคาปลานิลเบตงจึงสูงกว่าปลาที่เลี้ยงในเขตพื้นที่อื่นๆ ราคาขณะนี้ปากบ่อจำหน่ายได้ 90-100 บาทต่อกิโลกรัมทีเดียว ที่สำคัญปลานิลเบตงต้องกินตัวใหญ่ครับ ขนาดที่จับขายกันจะเป็นขนาด 1.3-1.4 กิโลกรัมต่อตัว
ต่อมา...เกษตรกรหัวก้าวหน้ากลุ่มหนึ่ง เริ่มมองหาสัตว์น้ำชนิดใหม่ที่นิยมรับประทาน และให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุน ข้อสรุปตกลงที่ ปลาพลวงชมพูหรือ “ ปลากือเลาะห์” ว่ากันว่า เป็นปลาที่แพงมากในมาเลเซีย น่าจะนำมาเลี้ยงพวกเขาคิดว่าเลี้ยงได้เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์การเลี้ยงปลาจีนมาก่อนหน้านี้อยู่แล้วแล้ว
ด้วยภูมิประเทศที่เห็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับที่ราบทำให้อำเภอเบตงมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวอย่างสูง ถ้าเทียบๆกับแหล่งที่มีชื่อเสียง น่าจะเทียบได้กับเมืองโออิตะ ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นต้นทางของหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ (one village, one product) หรือที่ประเทศไทยนำมาเป็นต้นแบบหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือเรียกย่อว่า โอทอป/OTOP) นั่นเอง ที่นี่ เบตงนี่เองสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ เพราะมีทรัพยากรหลากหลาย ผลผลิตทางการเกษตรหลากชนิด เช่น ไก่เบตง ส้มโชกุนเบตง สิ่งเหล่านี้สามารถนำมาสร้างหมู่บ้านไก่ หมู่บ้านส้มโชกุนได้ นอกจากนี้เบตงยังมีเรื่องเหล่าทางวัฒนธรรมผสมผสานที่มีมากอย่างยาวนาน เมืองสงบท่ามกลางหุบเข้าจะเป็นแหล่งต้อนรับผู้มาเยือนทั้งไทยและต่างประเทศ ประมาณว่ามีนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียมาเที่ยวเบตงปีละหลายหมื่นคนทีเดียว การเป็นเมืองท่องเที่ยวของเบตง ที่คนเข้ามาท่องเที่ยวเมืองอาหารอร่อย สิ่งที่โดดเด่นคือ การมีวัตถุดิบที่อยู่ในเขตพื้นที่ผลิต/เลี้ยงที่ห่างจากตัวเมืองไม่เกิน 15 กิโลเมตร ทำให้วัตถุดิบนั้นมีความสดใหม่เกินคำบรรยาย
แต่..สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งของเบตงที่หลายคนคงทราบกันไม่มากนักคือ พื้นที่เล็กๆตามที่ราบเชิงเขาของเบตง เป็นแหล่งเลี้ยงสัตว์น้ำมาช้านาน สัตว์น้ำที่มีชื่อเสียงของอำเภอเบตงคือปลาจีน หรือปลาเฉา เป็นปลาที่มีราคาแพง ใครไปเยือนเมืองเบตงก็อดไม่ได้ที่จะต้องสั่งมารับประทาน เมนูแนะนำครับ ว่ากันว่า "ถ้าไปเที่ยวเบตงแล้วไม่ได้ทานปลาจีนเบตง มากันไม่ถึงทีเดียว" ปัจจุบันพื้นที่เลี้ยงปลาจีนถูกปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของตลาด เกษตรกรนำปลานิลมากเลี้ยงควบคู่ไปด้วย เพราะปลานิลสามารถขายได้ทุกๆวัน โดยเกษตรกรจับกลุ่มกันผลิตปลานิลคุณภาพดีออกจำหน่าย ปลานิลเบตงถูกนำมาเลี้ยงในระบบน้ำไหล ไม่มีเศษอาหารหรือดินตะกอนตกค้างในบ่อทำให้เนื้อปลาไม่มีกลิ่นโคลนในเนื้อ ทำให้จำหน่ายได้ราคาดีและเป็นที่นิยม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย ราคาปลานิลเบตงจึงสูงกว่าปลาที่เลี้ยงในเขตพื้นที่อื่นๆ ราคาขณะนี้ปากบ่อจำหน่ายได้ 90-100 บาทต่อกิโลกรัมทีเดียว ที่สำคัญปลานิลเบตงต้องกินตัวใหญ่ครับ ขนาดที่จับขายกันจะเป็นขนาด 1.3-1.4 กิโลกรัมต่อตัว
ต่อมา...เกษตรกรหัวก้าวหน้ากลุ่มหนึ่ง เริ่มมองหาสัตว์น้ำชนิดใหม่ที่นิยมรับประทาน และให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุน ข้อสรุปตกลงที่ ปลาพลวงชมพูหรือ “ ปลากือเลาะห์” ว่ากันว่า เป็นปลาที่แพงมากในมาเลเซีย น่าจะนำมาเลี้ยงพวกเขาคิดว่าเลี้ยงได้เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์การเลี้ยงปลาจีนมาก่อนหน้านี้อยู่แล้วแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น